นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
(Privacy Policy)
บริษัท พีซีซี อินเทอร์เนชันนัล จำกัด (“บริษัท”) เป็นผู้ให้บริการด้าน Outsourced Contact Center ซึ่งประกอบด้วยการให้บริการ Call Center ทั้งทางโทรศัพท์ และทางสื่อสังคมออนไลน์การให้บริการแพ็ค และจัดส่งสินค้าครบวงจร (Fulfillment Service) รวมถึงการให้บริการให้คำปรึกษาและดูแลบริหารการจ่ายเงินเดือนพนักงาน ตลอดจนถึงการคำนวณภาษี การตรวจสอบ และการจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ (Payroll Service) (“บริการ”) ซึ่งในการดำเนินการดังกล่าว อาจมีข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล (“ท่าน”) ถูกเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย (“ประมวลผล”) ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับจากลูกค้าของบริษัท (“ลูกค้า”) ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งบริษัทได้คำนึงถึงความสำคัญของความเป็นส่วนตัวของท่านและมุ่งมั่นที่จะจัดการข้อมูลด้วยวิธีการที่มั่นคงปลอดภัย และน่าเชื่อถือจึงได้จัดทำนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้ขึ้น(“นโยบาย”) เพื่อชี้แจงรายละเอียดวิธีการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับและการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่อยู่ภายใต้ความดูแลของบริษัท โดยบริษัทสนับสนุนให้ท่านศึกษานโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างละเอียดเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ท่านเข้าใจแนวปฏิบัติของบริษัท
1.1 ข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เช่น ชื่อ นามสกุล ชื่อเล่น ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ เลขประจำตัวประชาชน เลขหนังสือเดินทาง เลขบัตรประกันสังคม เลขใบอนุญาตขับขี่ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี เลขบัญชีธนาคาร เลขบัตรเครดิต ที่อยู่อีเมล ทะเบียนรถยนต์ โฉนดที่ดิน IP Address, Cookie ID ข้อมูลเสียงเป็นต้น อย่างไรก็ดี ข้อมูลต่อไปนี้ ไม่เป็นข้อมูลส่วนบุคคล เช่นข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมข้อมูลของนิติบุคคล ข้อมูลสำหรับการติดต่อทางธุรกิจที่ไม่ได้ระบุถึงตัวบุคคล ชื่อบริษัท ที่อยู่ของบริษัทเลขทะเบียนนิติบุคคลของบริษัทหมายเลขโทรศัพท์ของที่ทำงานที่อยู่อีเมลที่ใช้ในการทำงาน ที่อยู่อีเมลกลุ่มของบริษัท ข้อมูลนิรนาม (Anonymous Data) หรือข้อมูลแฝงที่ทำให้ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้อีกโดยวิธีการทางเทคนิค(Pseudonymous Data) เป็นต้น
1.2 ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว หมายถึง ข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน และอาจสุ่มเสี่ยงในการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เช่น เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ หรือข้อมูลอื่นใด ซึ่งกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในทำนองเดียวกัน ตามที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลประกาศกำหนด
1.3 เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง ตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนั้น แต่ไม่ใช่กรณีที่บุคคลมีความเป็นเจ้าของข้อมูล (Ownership) หรือเป็นผู้สร้างหรือเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นเอง โดยเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนี้หมายถึง บุคคลธรรมดาเท่านั้น และไม่รวมถึงนิติบุคคล (Juridical Person) ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย เช่น บริษัท สมาคม มูลนิธิ หรือ องค์กรอื่นใด
1.4 ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง บริษัท ลูกค้าของบริษัทหรือบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
1.5 ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง บริษัท ลูกค้าของบริษัท หรือบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งดำเนินการเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งหรือในนามของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
1.6 เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง บุคคลซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากบริษัทให้มีหน้าที่ และอำนาจในการกำกับดูแล ออกหลักเกณฑ์ มาตรการ หรือข้อปฏิบัติอื่นใดที่เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
2.1 บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลโดยมีวัตถุประสงค์ ขอบเขต และวิธีการที่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นธรรมในการเก็บรวบรวม และจะจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอย่างจำกัดเพียงเท่าที่จำเป็นแก่การให้บริการภายใต้วัตถุประสงค์ของบริษัทเท่านั้น ทั้งนี้ บริษัทจะดำเนินการให้เจ้าของข้อมูล รับรู้ ให้ความยินยอม ทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยข้อความสั้น (Short Message Service) หรือตามแบบวิธีการของบริษัท เว้นแต่ (1) เพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย (2) เพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนของพนักงานสอบสวน หรือการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล (3) เพื่อประโยชน์ในกรณีการขอความยินยอมไม่อาจกระทำได้ในเวลานั้น (4) เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บริษัท (5) เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล (6) เพื่อการปฏิบัติตามสัญญาซึ่งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเข้าทำสัญญานั้น (7) เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวกับการจัดทำเอกสารประวัติศาสตร์หรือจดหมายเหตุ เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือประโยชน์ในการศึกษา วิจัย การจัดทำสถิติ ซึ่งได้จัดให้มีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม
2.2 บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลผู้เข้าชมเว็ปไซต์จากขั้นตอนการดำเนินการต่าง ๆ ดังนี้
2.2.1 ข้อมูลส่วนบุคคลที่ให้ไว้ผ่านบริการทางเว็บไซต์ของบริษัท รวมถึง ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ การใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media Handle)
2.2.2 ข้อมูลที่เก็บรวบรวมโดยอัตโนมัติผ่านการติดตามตรวจสอบทางระบบคอมพิวเตอร์ ได้แก่ ที่อยู่ไอพี (IP Address) เบราว์เซอร์ที่ใช้งาน หรือระบบปฏิบัติการ หน้าเว็บไซต์ที่เข้าชม และเว็บไซต์ต้นทางที่ผู้เข้าชมเชื่อมโยงมาที่เว็บไซต์
2.3 บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้เมื่อได้ทำการติดต่อ ซื้อ หรือ ขายสินค้า ให้บริการ หรือรับบริการใด ๆ แก่บริษัท เช่น
2.3.1 ข้อมูลนามบัตร เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล
2.3.2 ข้อมูลที่ใช้ยืนยันตัวตนได้ เช่น ข้อมูลบนบัตรประจำตัวประชาชน รูปถ่าย และข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ที่ใช้ในการระบุตัวตน
2.3.3 ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของท่าน เช่น ข้อมูลประวัติและการปฏิบัติงาน ข้อมูลเกี่ยวกับการจ้างงาน และข้อมูลเพื่อการบริหาร
2.5 บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลในการทำกิจกรรมทางการตลาด เมื่อท่านเข้าร่วมรายการส่งเสริมการขายแคมเปญต่าง ๆ หรือกิจกรรมใด ๆ กับบริษัท หรือรายการอื่นในทำนองเดียวกัน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับรูปภาพ หรือประวัติการร่วมกิจกรรมในครั้งก่อน
2.6 ในกรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ บริษัทจะปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลดังกล่าวโดยคำนึง ถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างสูงสุดโดยมีเงื่อนไข ดังนี้
(1) ผู้เยาว์ซึ่งผู้แทนโดยชอบธรรมให้ความยินยอมในการประกอบธุรกิจทางการค้าหรือธุรกิจอื่น หรือในการเป็นลูกจ้างในสัญญาจ้างแรงงาน ในความเกี่ยวพันกับการประกอบธุรกิจหรือในกิจการใดที่ผู้เยาว์สามารถกระทำได้เองหรือที่ผู้เยาว์มีฐานะเสมือนดังบุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วทั้งนี้ ในการให้ความยินยอมใด ๆ เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่มีฐานะเสมือนเป็นผู้บรรลุนิติภาวะสามารถให้ความยินยอมได้ด้วยตนเอง เว้นแต่เป็นกรณีที่มีกฎหมายกำหนดให้ความยินยอมบางอย่าง จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใช้อำนาจปกครองที่มีอำนาจกระทำการแทนผู้เยาว์ด้วย
(2) เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ หมายถึง บุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ เนื่องจากมีกายพิการหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ หรือติดสุรายาเมา หรือมีเหตุอื่นใดทำนองเดียวกันนั้น จนไม่สามารถจะจัดทำการงานโดยตนเองได้ หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว ทั้งนี้ ในการให้ความยินยอมใด ๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ที่มีอำนาจกระทำการแทนคนเสมือนไร้ความสามารถนั้นก่อน
(3) เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นคนไร้ความสามารถ หมายถึง บุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ เนื่องจากเป็นบุคคลวิกลจริต ทั้งนี้ ในการให้ความยินยอมใด ๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลที่มีอำนาจกระทำการแทนคนไร้ความสามารถนั้นก่อน
2.7 บริษัทไม่มีความประสงค์จะจัดเก็บ รวบรวม ใช้ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งจัดเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวของท่าน เช่น เชื้อชาติ ข้อมูลหมู่โลหิต หรือข้อมูลศาสนา ถึงแม้ว่าข้อมูลดังกล่าวจะปรากฏอยู่บนบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน หรือเอกสารอื่นใดที่ท่านได้สมัครใจเปิดเผยไว้ต่อบริษัทก็ตาม ทั้งนี้ หากท่านได้ทำการส่งมอบข้อมูลใด ๆ ซึ่งปรากฏข้อมูลที่มีลักษณะเช่นว่านี้ให้แก่บริษัทไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบข้อมูลในลักษณะเป็นเอกสาร หรือสื่ออื่นใด ท่านจะต้องปกปิดข้อมูลอ่อนไหวเหล่านี้ ด้วยตัวท่านเอง หากท่านมิได้ปกปิดข้อมูลด้วยตัวท่านเอง บริษัทถือว่าท่านได้อนุญาตโดยชัดแจ้งให้บริษัททำการปกปิดข้อมูลเหล่านี้ให้แก่ท่าน และให้ถือว่าข้อมูลที่ท่านส่งมอบมานี้ซึ่งบริษัทได้จัดการปกปิดข้อมูลอ่อนไหวให้แก่ท่านแล้วเป็นเอกสารที่สมบูรณ์ ใช้บังคับได้ตามกฎหมายทุกประการ และให้บริษัทสามารถนำไปประมวลผลได้ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ หากเป็นกรณีที่บริษัทไม่สามารถจัดการปกปิดข้อมูลอ่อนไหวแก่ท่านได้ เนื่องด้วยปัญหาเชิงเทคนิค หรือปัญหาอื่นใด บริษัทจะทำการจัดเก็บข้อมูลอ่อนไหวนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเอกสารยืนยันตัวตนของท่านเท่านั้นและบริษัทจะดำเนินขั้นตอนตามสมควรในทางการค้าเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลดังกล่าวอย่างเพียงพอ
2.8 กิจกรรมที่ท่านได้เข้าร่วมแล้วหรือจะได้เข้าร่วมในอนาคต ซึ่งอาจมีการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวเพิ่มเติม เช่น ข้อมูลสุขภาพของท่าน ทั้งนี้ การจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อการให้บริการและอำนวยความสะดวกอย่างดีที่สุดแก่ท่านเท่านั้น และในการจัดเก็บข้อมูลอ่อนไหวนี้ บริษัทจะได้ทำการขอความยินยอมของท่านไว้โดยชัดแจ้ง โดยทำเป็นเอกสารขอความยินยอมก่อนการจัดเก็บข้อมูลอ่อนไหวเหล่านั้นเสมอ
2.9 บริษัทจะไม่จัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านซึ่งเกี่ยวกับลักษณะทางพันธุกรรม พฤติกรรมทางเพศ หรือข้อมูลที่อาจเป็นผลร้าย ทำให้เสียชื่อเสียง หรืออาจก่อให้เกิดความรู้สึกเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมหรือความไม่เท่าเทียมกันแก่บุคคลใด เว้นแต่ (1) ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากท่าน (2) เป็นกรณีที่กฎหมายกำหนด (3) เป็นไปเพื่อประโยชน์ของท่าน และการขอความยินยอมไม่อาจกระทำได้ในเวลานั้น (4) เป็นไปเพื่อประโยชน์เกี่ยวกับชีวิต สุขภาพ หรือความปลอดภัยของท่านและผู้ใช้บริการท่านอื่น (5) เพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนของพนักงานสอบสวน หรือการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล (6) เพื่อประโยชน์ในการศึกษา วิจัย หรือการจัดทำสถิติ
บริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากช่องทาง ดังต่อไปนี้
3.1. ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้แก่บริษัทโดยตรง หรือให้ผ่านบริษัทในเครือ หรือมีอยู่กับบริษัท ทั้งที่เกิดจากซื้อผลิตภัณฑ์ หรือการสมัครสมาชิก การขอใช้บริการ การติดต่อ เยี่ยมชม ค้นหา ไม่ว่าจะผ่านช่องทางดิจิทัล เว็บไซต์ ผู้ที่ได้รับมอบหมาย หรือช่องทางอื่นใด เช่น
(1) ขั้นตอนการใช้บริการ การติดต่อประสานงาน หรือการยื่นคำร้องขอต่าง ๆ กับบริษัท เช่น การติดต่อสอบถามไม่ว่าช่องทางใด การให้บริการตามคำขอ ตอบข้อซักถาม ยืนยันตัวตนในการใช้บริการ การเข้าร่วมอบรม เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนา การขอข้อมูลข่าวสาร การยื่นหนังสือร้องเรียน การสมัครงาน เป็นต้น
(2) การเก็บข้อมูลโดยความสมัครใจของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การทำแบบสอบถาม การสำรวจความต้องการและความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลการบริการ การทำการตลาด ส่งเสริมการขายหรือ การโต้ตอบทางที่อยู่อีเมล หรือช่องทางการสื่อสารอื่น ๆ ระหว่างบริษัท และเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
(3) การเก็บข้อมูลจากการใช้เว็บไซต์ของบริษัทผ่านเบราว์เซอร์คุกกี้ (browser’s cookies) ของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล และการใช้บริการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
(4) การเก็บข้อมูลประกอบการทำสัญญา การออกใบกำกับภาษี เช่น สำเนาทะเบียนบ้าน, สำเนาบัตรประชาชน, ใบเปลี่ยนชื่อ นามสกุล, สำเนาพาสปอร์ตเอกสารอื่นใด ที่จำเป็นต่อการทำสัญญา หรือทำนิติกรรม
3.2 บริษัทได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล และ/หรือบุคคลที่สามและ/หรือลูกค้าของบริษัทและ/หรือ บุคคลอื่นใดที่เป็นผู้ควบคุมข้อมูล และบริษัทเชื่อโดยสุจริตว่าบุคคลเหล่านั้น เป็นผู้มีสิทธิประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลและมีสิทธิเปิดเผยให้แก่บริษัทได้
ข้อ 4. การขอความยินยอมและผลกระทบที่เป็นไปได้จากการถอนความยินยอม
4.1 ในกรณีที่บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลโดยอาศัยความยินยอมของท่าน ท่านมีสิทธิถอนความยินยอมของท่านที่ได้ให้ไว้กับบริษัทได้ตลอดเวลา ซึ่งการถอนความยินยอมนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการประมวลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไปแล้ว
4.2 หากข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านมีความจำเป็นสำหรับการปฏิบัติตามกฎหมายของบริษัทหรือเพื่อการเข้าทำสัญญากับท่าน บริษัทอาจจะไม่สามารถดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางส่วน หรือทั้งหมด ตามที่ระบุไว้ในนโยบายฉบับนี้แก่ท่านได้ หากท่านถอนความยินยอมที่ได้ให้ไว้แก่บริษัท หรือปฏิเสธไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านั้น เมื่อบริษัทร้องขอ
ข้อ 5. วัตถุประสงค์ในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลด้วยวิธีการที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม โดยบริษัทจะจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่จำเป็นเพื่อใช้ในกรณี ดังต่อไปนี้ ทั้งนี้หากมีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ บริษัทจะแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบ และบันทึกเพิ่มเติมไว้เป็นหลักฐาน รวมทั้งจะปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
5.1 เพื่อประโยชน์ในการติดต่อประสานงาน ประชาสัมพันธ์ หรือให้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ รวมทั้งสำรวจความคิดเห็น ความพึงพอใจของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในกิจการ หรือกิจกรรมของบริษัทและ/หรือภายใต้วัตถุประสงค์ในการดำเนินงานของบริษัทลูกค้าของบริษัท หรือผู้ควบคุมข้อมูลเท่านั้น
5.2 เพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนเข้าทำสัญญา หรือเพื่อปฏิบัติตามสัญญา ดำเนินการจัดซื้อ จัดจ้าง ตรวจรับ ชำระค่าสินค้าและบริการ บริหารจัดการความสัมพันธ์ ตรวจสอบและประเมินการทำงานตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ในใบสั่งซื้อ หรือเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงการบริหารความสัมพันธ์กับท่าน
5.3 เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์และนำเสนอบริการใด ๆ ของลูกค้าของบริษัท และ/หรือบุคคลที่เป็นผู้จำหน่าย เป็นตัวแทน หรือพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัท รวมถึงเพื่อประโยชน์ในการให้บริการตอบข้อซักถาม การให้บริการอื่นใดตามคำขอของท่าน
5.4 เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดให้บริการตามสัญญา ที่เกี่ยวกับการใช้ข้อมูลในเชิงพาณิชย์ที่ไม่ขัดต่อกฎหมายและ/หรือเพื่อปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ใช้บังคับกับบริษัททั้งปัจจุบันและอนาคต
5.5 เพื่อประโยชน์ในการจัดส่ง คูปอง ข่าวสาร ตัวอย่างสินค้า ของรางวัล และข้อมูลอื่น ๆ เกี่ยวกับการแจ้งข่าวสาร โปรโมชั่น สิทธิประโยชน์ หรือสิทธิพิเศษแก่ท่าน โดยท่านอาจเลือกที่จะไม่รับข้อความโฆษณาบางประเภทได้โดยปฏิบัติตามคำแนะนำที่ให้ไว้
5.6 เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด หรือวิเคราะห์กลยุทธ์ในการจัดการ การพัฒนา ปรับปรุง ฟังก์ชันต่าง ๆ บนเว็บไซต์ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ รวมถึงการติดต่อสื่อสารทางการตลาดที่เกี่ยวกับบริการของบริษัทและพันธมิตรของบริษัทผ่านทาง หนังสือ อีเมล เอสเอ็มเอส แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย โทรศัพท์ และไดเร็กเมล
5.7 เพื่อจัดทำชุดข้อมูลโดยไม่เปิดเผยตัวบุคคล (ข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ ได้แก่ ข้อมูลประชากร ข้อมูลเชิงพฤติกรรม และข้อมูลทางเทคนิคที่สรุปมาจากข้อมูลพื้นฐาน) เพื่อการใช้ประโยชน์ของบริษัท และ/หรือบุคคลที่สาม รวมถึงเพื่อส่งข้อความโฆษณาไปยังลูกค้าบนเว็บไซต์และบริการของบุคคลอื่นได้ โดยที่ชุดข้อมูลดังกล่าวจะไม่มีการเปิดเผย หรือแสดงข้อมูลส่วนบุคคลแต่อย่างใด
5.8 เพื่อป้องกันและระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของท่านหรือบุคคลอื่น เช่น การติดต่อในกรณีฉุกเฉิน การควบคุมและป้องกันโรคติดต่อ
5.9 เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น การปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย กฎระเบียบ และคำสั่งของผู้ที่มีอำนาจตามกฎหมาย
5.10 เพื่อนำมาใช้กำหนดรูปแบบการใช้งาน หรือความสนใจของลูกค้า และ/หรือผู้เข้าชมเว็บไซต์ และ/หรือ ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ หรือเพื่อวัตถุ
6.1 บริษัทจะใช้และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามวัตถุประสงค์เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลให้ไว้กับบริษัทเท่านั้นโดยในกรณีใด ๆ ที่บริษัทต้องการเก็บรวมรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มเติมหรือมีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย บริษัทจะแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบก่อนที่จะดำเนินการกับข้อมูลส่วนบุคคลนั้น เว้นแต่เป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดหรืออนุญาตให้ดำเนินการได้
6.2 บริษัทจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม และจัดให้มีการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและมีการควบคุมการเข้าถึง ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยบริษัทจะกำกับดูแลพนักงาน เจ้าหน้าที่หรือผู้ปฏิบัติงานของบริษัทมิให้ใช้และเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านนอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลหรือเปิดเผยต่อบุคคลภายนอก เว้นแต่
(1) เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พระราชบัญญัติ ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ประมวลกฎหมายแพ่งและอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ แพ่งและอาญา ฯลฯ
(4) เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือนิติบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บริษัท
(5) เป็นการจำเป็นเพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล
(6) เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามสัญญาซึ่งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเข้าทำสัญญานั้น
(7) เป็นการจำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวกับการจัดทำเอกสารประวัติศาสตร์หรือจดหมายเหตุ เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อการศึกษา วิจัย การจัดทำสถิติ ซึ่งได้จัดให้มีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม
6.3 บริษัทอาจใช้บริการสารสนเทศของผู้ให้บริการซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เพื่อให้ดำเนินการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งผู้ให้บริการนั้นจะต้องมีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัย โดยห้ามดำเนินการเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลนอกเหนือจากที่บริษัทกำหนด
ข้อ 7. การแบ่งปันและโอนข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทอาจแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทจัดเก็บในปัจจุบัน และที่จะได้จัดเก็บในอนาคตให้แก่ลูกค้าคู่ค้า บุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ภายในขอบเขตตามที่ระบุไว้ ดังนี้
7.1 บริษัทอาจมีการแบ่งปันข้อมูลให้กับลูกค้าของบริษัท ผู้ควบคุมข้อมูลหรือผู้รับข้อมูลอื่นใด เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ของบริษัท ตามสัญญา และตามกฎหมาย โดยบริษัทจะกำหนดเงื่อนไขให้ผู้รับข้อมูลใช้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่เจ้าของข้อมูลยินยอมเท่านั้น และจะกำหนดให้ผู้รับข้อมูลจะต้องทำลาย หรือส่งข้อมูลดังกล่าวคืนเมื่อไม่มีความจำเป็นต้องใช้ข้อมูลดังกล่าวอีกต่อไป
7.2 บริษัทอาจเปิดเผยหรือโอนข้อมูลตามที่ได้รับการร้องขอ ตามความเหมาะสม และเป็นไปตามกฎหมาย ในกรณีที่บริษัท ถูกซื้อกิจการ หรือขายกิจการบางส่วนหรือทั้งหมด ข้อมูลที่บริษัท เก็บรวบรวมไว้จะถือเป็นสินทรัพย์ที่สามารถโอนให้แก่ผู้ซื้อกิจการได้
7.3 บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดตามคำสั่งศาล หมายศาล กระบวนการบังคับใช้กฎหมาย การไต่สวนโดยหน่วยงานกำกับดูแล หรือกรณีอื่นตามที่กฎหมายกำหนดได้ และในกรณีที่มีการร้องขอให้เปิดเผยข้อมูลโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายคำสั่ง แนวทาง หรือการร้องขอใดๆ จากหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจตามกฎหมายหรือเป็นการร้องขอจากหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกฎหมายรวมถึงในกรณีที่มีความจำเป็นตามสมควรในการบังคับใช้ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้ของบริษัทโดยไม่มีการขออนุญาตจากท่านโดยในการดำเนินการตามคำร้องขอดังกล่าว บริษัท จะดำเนินการ (ก) เพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ประโยชน์สาธารณะ หรือการบังคับใช้กฎหมาย หรือ (ข) ตามกฎหมาย กฎระเบียบของทางราชการ หรือคำพิพากษาคดีที่กำหนดหน้าที่หรือการอนุญาตไว้โดยชัดแจ้ง
7.4 บริษัทอาจปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การโอนข้อมูลระหว่างประเทศ โดยเข้าทำข้อสัญญามาตรฐานหรือใช้กลไกอื่นที่พึงมีตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลที่ใช้บังคับ และบริษัทอาจอาศัยสัญญาการโอนข้อมูล หรือกลไกอื่นที่ได้รับการอนุมัติ เพื่อการโอนข้อมูลส่วนบุคคล
7.5 บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเฉพาะเท่าที่จำเป็น ให้แก่ลูกจ้างและผู้รับจ้างที่มีหน้าที่ในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงคู่ค้า ลูกค้าของบริษัท หรือบุคคลภายนอกที่บริษัทให้บริการหรือในนามของบริษัท หรือที่บริษัทได้ว่าจ้างให้ทำหน้าที่เป็นผู้ประมวลข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การจัดการเกี่ยวกับโปรแกรมในการออกใบกำกับภาษีทั้งในรูปแบบกระดาษและรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
7.6 บริษัทอาจเปิดเผยส่ง โอน ข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่กลุ่มธุรกิจของบริษัท พันธมิตรทางธุรกิจ ผู้ให้บริการภายนอก ผู้ประมวลผลข้อมูล ผู้รับโอนสิทธิ หน่วยงาน/องค์กร/นิติบุคคลใดๆ ที่มีสัญญาอยู่กับบริษัท หรือที่บริษัทมีความสัมพันธ์ด้วย หรือผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งทั้งในประเทศและต่างประเทศ
บริษัทจะประมวลผลข้อมูลโดยอาจอาศัยหรืออ้าง (1) ฐานความยินยอม เพื่อประมวลผลข้อมูลของท่าน (2) ฐานการปฏิบัติตามสัญญา สำหรับการเริ่มต้นทำสัญญา หรือการเข้าทำสัญญา หรือการปฏิบัติตามสัญญากับท่าน (3) ฐานการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของบริษัท (4) ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทและของบุคคลภายนอก (5) ฐานการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล และ/หรือ (6) ฐานประโยชน์สาธารณะสำหรับการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐ หรือฐานทางกฎหมายอื่น ๆ ตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด แล้วแต่กรณี โดยบริษัทจะประมวลผลข้อมูลของท่านแยกตามกิจกรรมที่บริษัทดำเนินการภายใต้ฐานในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ดังนี้
8.2 ฐานการปฏิบัติตามกฎหมาย (Legal Obligation) : บริษัทอาจประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย และเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายภาษีอากร กฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กฎหมายคอมพิวเตอร์ กฎหมายล้มละลาย และกฎหมายอื่นๆ ที่บริษัทจำเป็นต้องปฏิบัติตามทั้งของในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงประกาศ และกฎระเบียบที่ออกตามกฎหมายดังกล่าว โดยหน่วยงานรัฐ และ/หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแล บริษัทอาจนำส่งข้อมูลให้แก่ผู้มีอำนาจตามกฎหมาย พนักงานเจ้าหน้าที่ หน่วยงานรัฐที่มีอำนาจตามกฎหมายในการเรียกข้อมูลที่บริษัทครองครองอยู่ได้ เช่น กรมสรรพากร สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการ ศาล เป็นต้น
8.3 ฐานจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายโดยไม่เกินขอบเขตที่ท่านสามารถคาดหมายได้อย่างสมเหตุสมผล (Legitimate Interest) : : บริษัทอาจประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ซึ่งได้แจ้งให้ท่านทราบรายละเอียดการประมวลผลข้อมูลของท่านแล้วตามที่ระบุไว้ในนโยบายฉบับนี้ ประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice) โดยบริษัทอาจนำข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปใช้เพื่อการให้บริการเพื่อประโยชน์แก่ท่านเองการวิเคราะห์ข้อมูลการบริการในภาพรวม การจัดทำรายงานเพื่อประชุมในหน่วยงาน รวมถึงนำเสนอคณะผู้บริหารการวิจัย หรือการจัดทำสถิติซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานของบริษัท การปรับปรุงคุณภาพของการให้บริการ การจัดทำข่าวสารประชาสัมพันธ์ การใช้คุกกี้ที่จำเป็นต่อการเข้าชมเว็บไซต์ การบันทึกเสียงทาง Call Center ภาพถ่าย/ภาพเคลื่อนไหว การบันทึกภาพ CCTV การแลกบัตรก่อนเข้าอาคาร การจัดการข้อร้องเรียน การประเมินความพึงพอใจ การบริหารความเสี่ยง การกำกับตรวจสอบ การบริหารจัดการภายในองค์กร รวมถึงการส่งต่อไปยังบริษัทในเครือ การทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ (Anonymous Data) การป้องกัน รับมือ ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดการกระทำการทุจริต ภัยคุกคามทางไซเบอร์ การติดต่อ การบันทึกภาพ การบันทึกเสียงเกี่ยวกับการจัดประชุม อบรม สันทนาการ การชิงโชค การแข่งขัน หรือออกบูธ การลงทะเบียน เป็นต้น
8.4 ฐานสัญญา (Contract): บริษัทดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อการให้บริการ หรือการปฏิบัติตามหน้าที่และเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาหรือที่บริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านบางประเภทตามที่กำหนดไว้เพื่อให้การทำสัญญาระหว่างท่านกับบริษัท หรือระหว่างท่านกับลูกค้าของบริษัท เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติตามสัญญา และเพื่อการให้บริการตามคำขอ ตอบข้อซักถาม ยืนยันตัวตนในการใช้บริการ ทำการตลาด ส่งเสริมการขาย สำรวจความต้องการและความพึงพอใจวิเคราะห์ข้อมูลการบริการ โดยหากท่านไม่ตกลงยินยอมให้ข้อมูลส่วนบุคคล จะส่งผลให้การดำเนินการดังกล่าวนั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้
ข้อ 9. สิทธิในการได้รับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
9.1 บริษัท เคารพสิทธิส่วนบุคคลของท่าน และเปิดโอกาสให้ท่านสามารถเลือกวิธีการควบคุม หรือวิธีการที่บริษัทใช้ติดต่อท่าน โดยบริษัทจะปฏิบัติตามที่ท่านได้ร้องขอ เพื่อช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเพื่อคุณภาพของข้อมูล และความถูกต้องของข้อมูล รวมถึงเพื่อเป็นการปฏิบัติตามสัญญา หรือกฎหมาย โดยการที่ท่านไม่ให้ความยินยอมในการประมวลผลข้อมูล อาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้อย่างถูกต้อง และ/หรือ อาจทำให้มีข้อขัดข้อง ไม่สมบูรณ์ ในการปฏิบัติหน้าที่ตาม ข้อตกลง เงื่อนไขในสัญญา ระหว่างบริษัทกับท่านได้
9.2 ท่านมีสิทธิตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดไว้ในการดำเนินการ ดังต่อไปนี้
1) สิทธิขอถอนความยินยอม: หากท่านได้ให้ความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน (ไม่ว่าจะเป็นความยินยอมที่ท่านให้ไว้ก่อนวันที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใช้บังคับหรือหลังจากนั้น) ท่านมีสิทธิที่จะถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับบริษัท ทั้งนี้ บริษัทขอแจ้งให้ท่านทราบว่า การเพิกถอนความยินยอมไม่ส่งผลกระทบต่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้แล้วโดยชอบ เว้นแต่มีข้อจำกัดสิทธินั้นโดยกฎหมาย หรือโดยสภาพ ไม่สามารถถอนความยินยอมได้ หรือมีสัญญาระหว่างท่านกับบริษัทที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ หรืออาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางส่วนหรือทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในเอกสารฉบับนี้ได้
ทั้งนี้ การถอนความยินยอมของท่านอาจส่งผลกระทบต่อท่าน จากการใช้บริการต่าง ๆ เช่น ท่านจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ โปรโมชั่น หรือข้อเสนอใหม่ ๆ ไม่ได้รับบริการที่สอดคล้องกับความต้องการของท่าน หรือไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์แก่ท่าน เป็นต้น เพื่อประโยชน์ของท่าน จึงควรศึกษาและสอบถามถึงผลกระทบก่อนใช้สิทธิขอถอนความยินยอม
2) สิทธิขอเข้าถึงข้อมูล: ท่านมีสิทธิขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท และขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้บริษัทเปิดเผยว่าบริษัทได้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาได้อย่างไร เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่านตามกฎหมาย หรือคำสั่งของศาล หรือกรณีที่คำขอของท่านจะมีผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น
3) สิทธิขอถ่ายโอนข้อมูล: ท่านมีสิทธิขอให้โอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีที่บริษัทได้จัดทำข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอยู่ในรูปแบบให้สามารถอ่านหรือใช้งานได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ รวมทั้งมีสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นเมื่อสามารถทำได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ และมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยัง ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเหตุทางเทคนิค
ทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านข้างต้นต้องเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัท หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจำเป็นต้องประมวลผล เพื่อให้ท่านสามารถใช้บริการของบริษัทได้ตามความประสงค์ซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาอยู่กับบริษัท หรือลูกค้าของบริษัท หรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนใช้บริการ หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอื่นตามที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายกำหนด
4) สิทธิขอคัดค้าน: ท่านมีสิทธิขอคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในเวลาใดก็ได้ หากการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านทำขึ้นเพื่อการดำเนินงานที่จำเป็นภายใต้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นโดยไม่เกินขอบเขตที่ท่านสามารถคาดหมายได้อย่างสมเหตุสมผล หรือเพื่อดำเนินการตามภารกิจเพื่อสาธารณประโยชน์ หากท่านยื่นคัดค้าน บริษัทจะยังคงดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไป เฉพาะที่บริษัทสามารถแสดงเหตุผลตามกฎหมายได้ว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของท่าน หรือเป็นไปเพื่อการยืนยันสิทธิตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือการต่อสู้ในการฟ้องร้องตามกฎหมาย ตามแต่ละกรณี
นอกจากนี้ ท่านยังมีสิทธิขอคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่ทำขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการตลาด หรือเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติ
5) สิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล: ท่านมีสิทธิขอลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนของท่านได้ หากท่านเชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกประมวลผลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือเห็นว่าบริษัทหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องในประกาศฉบับนี้ หรือเมื่อบริษัทเห็นว่าสามารถปฏิบัติตามที่ท่านได้ใช้สิทธิขอถอนความยินยอมหรือใช้สิทธิขอคัดค้านตามที่แจ้งไว้ข้างต้นแล้ว
6) สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล: ท่านมีสิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลชั่วคราวในกรณีที่บริษัทอยู่ระหว่างตรวจสอบตามคำร้องขอใช้สิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล หรือขอคัดค้านของท่าน หรือกรณีอื่นใด ที่บริษัทหมดความจำเป็นและต้องลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่ท่านขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลแทน
7) สิทธิขอให้แก้ไขข้อมูล: ท่านมีสิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งนี้ หากท่านประสงค์จะขอแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับภาพ บริษัทจะทำการแก้ไขเฉพาะรายการข้อมูลที่เกี่ยวกับภาพของท่านเพื่อให้ถูกต้อง ตามความจำเป็นของบริษัทที่ชอบด้วยกฎหมายและในกรณีที่การดำเนินการตามคำขอก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายบริษัทอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากท่าน
ทั้งนี้ หากท่านเห็นว่า ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไม่ถูกต้องตามที่เป็นจริง ท่านสามารถแจ้งบริษัทเพื่อให้แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนบุคคล และ/หรือข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวนั้นได้ โดยในกรณีบริษัทมีเหตุให้ปฏิเสธคำร้องขอของท่าน บริษัทจะจัดทำบันทึกการปฏิเสธคำขอ พร้อมด้วยเหตุผลไว้เป็นหลักฐานด้วย
8) สิทธิร้องเรียน: ท่านมีสิทธิร้องเรียนต่อผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
9.3 การร้องขอใด ๆ เพื่อการใช้สิทธิของท่านตามที่ได้กล่าวข้างต้น จะต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งบริษัทได้จัดให้มีขึ้นในเว็บไซต์ https://pdpa.pccinter.com ตามขั้นตอนของบริษัท โดยบริษัทจะใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดที่จะดำเนินการภายในระยะเวลาที่สมเหตุสมผล และไม่เกินระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ดี บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่าน ในกรณีที่มีข้อยกเว้นตามกฎหมาย หรือบริษัทจะไม่สามารถปฎิบัติหน้าที่ตามสัญญาได้ หรือมีผลกระทบกับการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา และ/หรือไม่สามารถจัดสรรสิทธิประโยชน์และสวัสดิการบางประเภท เพื่อประโยชน์ของท่าน หรือเป็นการปฏิเสธตามคำสั่งศาล หรือหากบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านจะส่งผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยบริษัทจะดำเนินการบันทึกคำร้องขอ ตรวจสอบ และตอบกลับคำร้องขอของท่าน ภายในระยะเวลาอันสมควร ทั้งนี้ บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินการตามที่ท่านร้องขอในอัตราที่บริษัทกำหนด
9.4 ในบางสถานการณ์บริษัทอาจขอให้ท่านพิสูจน์ตัวตนของท่านก่อนการใช้สิทธิเพื่อความปลอดภัยของท่านเอง โดยบางครั้งอาจเกิดข้อจำกัดในการขอใช้สิทธิของท่านบางประการ ซึ่งบริษัทจะทำการชี้แจงให้ท่านทราบหากไม่สามารถปฏิบัติตามคำร้องขอใช้สิทธิของท่านได้
9.5 หากเป็นกรณีกิจกรรมที่บริษัททำการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามฐานการปฏิบัติตามสัญญา หรือฐานเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย หรือฐานการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย บริษัทมีสิทธิปฏิเสธการใช้สิทธิของท่านในกรณีที่ท่านใช้สิทธิโต้แย้ง หรือขอระงับการใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน และขอให้ดำเนินการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่านได้ รวมถึง บริษัทอาจปฏิเสธที่จะดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน หากบริษัท มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลต่อไป เพื่อการกระทำการ ดังต่อไปนี้
1) เพื่อทำรายการใด ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่บริษัท เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น เพื่อการจัดหาผลิตภัณฑ์หรือบริการตามที่ท่านร้องขอ หรือดำเนินการตามสมควรภายในขอบเขตความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างบริษัทกับท่าน หรือเพื่อปฏิบัติตามสัญญาระหว่างบริษัทกับท่าน
2) เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ป้องกันการกลั่นแกล้ง การฉ้อฉล การฉ้อโกง หรือการกระทำผิดกฎหมาย หรือฟ้องร้องดำเนินคดีกับบุคคลที่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว
3) เพื่อตรวจสอบการทำงานของบริการ และแก้ไขข้อผิดพลาดที่ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ
4) เพื่อทำการศึกษาวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ เชิงประวัติ หรือเชิงสถิติโดยทั่วไป หรือโดยผู้ชำนาญการ เพื่อประ โยชน์สาธารณะ โดยคำนึงถึงจรรยาบรรณและกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เมื่อการลบข้อมูลนั้นจะทำให้ไม่สามารถบรรลุหรือขัดขวางการบรรลุผลสำเร็จในการศึกษาวิจัยอย่างมีนัยสำคัญ
5) เพื่อใช้เป็นการภายในตามสมควรโดยสอดคล้องกับความคาดหมายของท่านที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบริษัท และสอดคล้องกับบริบทที่ท่านได้ให้ข้อมูลดังกล่าวไว้แต่แรก และ
6) เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ข้อบังคับ กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ข้อ 10. ระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูล
10.1 บริษัทจะใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม เพื่อดำเนินการตามคำขอของท่าน โดยบริษัท จะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ภายใต้ระยะเวลา ดังนี้
1) กรณีที่ท่านให้ข้อมูลแก่บริษัทในฐานะที่ท่านเป็นผู้ติดต่อ คู่ค้า คู่สัญญา บริษัทจะเก็บข้อมูลท่านไว้ตราบเท่าที่จำเป็นเพื่อให้บริการแก่ท่าน และจะเก็บต่อไปอีก 10 (สิบ) ปี นับถัดจากปีที่สิ้นสุดการให้บริการ หรือสิ้นสุดความสัมพันธ์กับท่าน เว้นแต่ บริษัทอาจเก็บข้อมูลดังกล่าวไว้นานกว่าระยะเวลาดังกล่าวได้ตามกำหนดระยะเวลาที่จำเป็นของข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภท เมื่อบริษัทมีความจำเป็นต่อการใช้งาน หรือประมวลผล หรือเมื่อจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หรือเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน หรือหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจผู้เกี่ยวข้อง
2) บริษัทจะเก็บข้อมูลท่านไว้ตามประเภทกิจกรรม และวัตถุประสงค์ของการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังที่ระบุใน ประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice)
3) กรณีอื่น ๆ บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ตราบเท่าที่จำเป็นตามสมควรเพื่อปฏิบัติตามหน้าที่ของบริษัทเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในนโยบายนี้ กรณีที่ไม่สามารถกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้ชัดเจน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลไว้ตามระยะเวลาที่อาจคาดหมายได้ตามมาตรฐานของการเก็บรวบรวม (เช่น อายุความตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี) ทั้งนี้ หากมีการดำเนินการทางศาล ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจถูกจัดเก็บไว้จนกว่าจะสิ้นสุดการดำเนินการดังกล่าว รวมถึงระยะเวลาใด ๆ ในการดำเนินการที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ จากนั้นข้อมูลของท่านจะถูกลบหรือเก็บตามที่กฎหมายอนุญาต
10.2 เมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดแล้ว บริษัทจะดำเนินการลบ ทำลาย ทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ หรือดำเนินการอื่นใดตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด เพื่อให้การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลบางอย่างไว้นานกว่าที่ระบุข้างต้น หากจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หรือเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน หรือหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจผู้เกี่ยวข้อง และเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจหรือโดยชอบตามกฎหมาย
11.1 คุกกี้ (Cookies) หมายถึง ข้อมูลขนาดเล็กที่เว็บไซต์ส่งไปเก็บไว้กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้าชมเว็บไซต์ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์จดจำข้อมูลเข้าชมของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ภาษาที่เลือกใช้เป็นอันดับแรก ผู้ใช้ของระบบ หรือการตั้งค่าอื่น ๆ เมื่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเข้าชมเว็บไซต์ในครั้งถัดไป เว็บไซต์จะจดจำได้ว่าเป็นผู้ใช้ที่เคยเข้าใช้บริการแล้ว และตั้งค่าตามที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด จนกว่าเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลจะลบคุกกี้ (Cookies) หรือไม่อนุญาตให้คุกกี้ (Cookies) นั้นทำงานอีกต่อไป
11.2 บริษัทใช้คุกกี้เพื่อเก็บข้อมูลการล็อกอิน (Login) ล็อกเอาท์ (Logout) หรือข้อมูลอื่นในคอมพิวเตอร์ของท่าน เมื่อท่านเข้าชมเว็บไซต์ เพื่อปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์ของบริษัทการตลาด และเนื้อหาในเว็บไซต์ของบริษัท และเพื่อให้บริการต่าง ๆ ของบริษัท เป็นไปตามความพึงพอใจและความสนใจของท่าน คุกกี้ทำให้บริษัท สามารถวิเคราะห์กิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับเว็บไซต์ของบริษัทได้ อาทิ วันที่ เวลา และหน้าเว็บไซต์ที่เข้าชม ตลอดจนเว็บไซต์ต้นทางที่ท่าน หรือผู้เข้าชมรายใหม่เชื่อมโยงมาที่เว็บไซต์ ป้องกันและตรวจจับการดำเนินการที่ต้องห้ามหรือไม่ได้รับอนุญาต สำหรับบริการบางประเภท บริษัทเสนอทางเลือกให้ท่านในการเก็บข้อมูลรหัสผู้ใช้หรือรหัสผ่านไว้ในคุกกี้ได้โดยที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องใส่ข้อมูลดังกล่าวอีกเมื่อกลับมายังเว็บไซต์ของบริษัท ในภายหลัง บริษัทอาจใช้แฟลชคุกกี้ (Flash Cookie) เพื่อแสดงเนื้อหาตามสิ่งที่ท่านดูบนเว็บไซต์ของบริษัทเพื่อกำหนดลักษณะเฉพาะตัวในการเข้าใช้งาน
เมื่อท่านเลือกบริการใด ๆ ของบริษัท ลงทะเบียนรับข่าวสารหรือการแจ้งทางอีเมล กรอกข้อมูลแบบฟอร์มออนไลน์ หรือกรอกแบบสอบถาม บริษัทอาจพยายามระบุเบราว์เซอร์ของท่าน และนำข้อมูลจากคุกกี้ และข้อมูลอื่นที่เก็บรวบรวมออนไลน์ไปใช้ร่วมกับข้อมูลอื่นที่อยู่ในความครอบครองของบริษัท
11.3 เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัว โดยเลือกที่จะยอมรับหรือไม่รับคุกกี้ (Cookies) ก็ได้ ทั้งนี้ กรณีท่านเลือกที่จะไม่ยอมรับหรือลบคุกกี้ (Cookies) เว็บไซต์อาจจะไม่สามารถให้บริการหรือไม่สามารถแสดงผลได้อย่างถูกต้องได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจส่งผลให้การเข้าถึงและการใช้งานบางฟังก์ชันช้าลง หรือมีความสะดวกลดลง
ข้อ 12. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล
12.1 บริษัทตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่านบริษัทจึงกำหนด ให้มีมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับการรักษาความลับของข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง ทำลาย ใช้ แปลง แก้ไขหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่มีสิทธิหรือโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตลอดจนการป้องกันมิให้มีการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้โดยมิได้รับอนุญาตซึ่งบริษัทกำหนดสิทธิในการเข้าถึง หรือการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อรักษาความลับและความปลอดภัยของข้อมูล ดังนี้
12.2 บริษัทจะใช้มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลทางเทคนิค ทางกายภาพ และทางธุรการที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเข้าถึงและเปิดเผยข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต และสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท และมาตรฐาน ที่รับรองโดยทั่วไป บริษัทกำหนดให้ลูกจ้างของบริษัท เข้ารับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล นอกจากนี้ บริษัทยังมีมาตราการตรวจสอบให้แน่ใจว่า คู่ค้าของบริษัท มีการใช้มาตรการในการ ประมวลผล โอนย้าย จัดการ และรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลอย่างเพียงพอในการให้บริการ ในนามของบริษัท อีกทั้งบริษัทจะมีการสอบทานและปรับปรุงมาตรการดังกล่าวตามความจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าการประมวลผลข้อมูลดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานต่าง ๆ และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
12.3 บริษัทจะกำหนดนโยบาย ระเบียบ แนวปฏิบัติ และขั้นตอนวิธีการต่าง ๆ เพื่อการจัดการข้อมูลอย่างปลอดภัย และป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตดังนี้
1) กำหนดนโยบายและขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ชัดเจน เพื่อการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเพื่อจัดการข้อมูลให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดอย่างปลอดภัย
2) ไม่จำหน่ายหรือขายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไม่ว่ากรณีใด และจะไม่โอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท
3) จำกัดสิทธิลูกจ้างของบริษัท ในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล
4) ป้องกันการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจัดให้มีการเข้ารหัสข้อมูล การตรวจสอบตัวตนและเทคโนโลยีการตรวจจับไวรัส ตามความจำเป็น
5) ตรวจสอบสถานะ คู่ค้าของบริษัท กำหนดให้คู่ค้าที่ทำธุรกิจกับบริษัท ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและกำหนดข้อจำกัดการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้แน่ใจว่ามีการใช้มาตรการในการประมวลผล โอนย้าย จัดการ และรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลอย่างเพียงพอ
6) ติดตามตรวจสอบเว็บไซต์ของบริษัท ผ่านหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการรักษาความมั่นคงปลอดภัย
7) จัดให้มีการฝึกอบรมเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแก่ลูกจ้าง พนักงาน คณะทำงานของบริษัท
8) ประเมินผลแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การจัดการข้อมูล และการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลของบริษัท อย่างสม่ำเสมอ
9) จัดให้มีระบบการตรวจสอบ เพื่อดำเนินการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษา หรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น
10) จัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลทางเทคนิค ทางกายภาพ และทางธุรการที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเข้าถึง และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลจากผู้ที่ไม่มีสิทธิ หรือหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หรือไม่ได้รับอนุญาต และไม่สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท และมาตรฐานที่รับรองโดยทั่วไป รวมถึงทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัยเมื่อมีความจำเป็น หรือเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม
ข้อ 13. การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ บริการของบุคคลภายนอก
เว็บไซต์ของบริษัทอาจมีลิงค์เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของบุคคลภายนอกซึ่งบุคคลภายนอกเหล่านั้นอาจเก็บรวบรวมข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับการใช้บริการ และข้อมูลส่วนบุคคล โดยบริษัทไม่สามารถรับผิดชอบในความปลอดภัยหรือความเป็นส่วนตัวของข้อมูลใด ๆ ที่เก็บรวบรวมโดยเว็บไซต์ ของบุคคลภายนอกดังกล่าว เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลควรใช้ความระมัดระวังและตรวจสอบนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเว็บไซต์ ของบุคคลภายนอกเหล่านั้นให้ละเอียดก่อนการใช้บริการ
ข้อ 14. การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลตามวัตถุประสงค์เดิม
บริษัทมีสิทธิ์ในการเก็บรวบรวม และใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทได้เก็บรวบรวมไว้ก่อนวันที่ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวม ใช้ และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับต่อไปตามวัตถุประสงค์เดิม หากท่านไม่ประสงค์ที่จะให้บริษัท เก็บรวบรวม และใช้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวต่อไปท่านสามารถแจ้งบริษัท เพื่อขอถอนความยินยอมของท่านเมื่อใดก็ได้ ผ่านช่องทางที่บริษัทกำหนด
หากท่านเห็นว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ท่านมีสิทธิที่จะร้องเรียนไปยังเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ที่อยู่ : 1023 อาคาร เอ็มเอสสยาม ชั้น 9 ถนนพระราม 3 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร 10120
อีเมล : pdpa@pccinter.com
หมายเลขโทรศัพท์ : 02-685-1397
ข้อ 16. การแก้ไขเปลี่ยนแปลงนโยบาย
บริษัทอาจปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หรือแก้ไขเพิ่มเติมนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้เป็นครั้งคราว เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยบริษัทจะประกาศแจ้งการเปลี่ยนแปลงให้ท่านทราบผ่านช่องทางที่เว็บไซต์ และ/หรือแพลตฟอร์มที่บริษัทจัดให้มีขึ้น ดังนั้น เพื่อความเหมาะสม และมีประสิทธิภาพในการให้บริการ บริษัทจึงขอแนะนำให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลอ่านนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทุกครั้งที่เยี่ยมชม หรือใช้บริการจากบริษัท
วันที่มีผลใช้บังคับของนโยบาย ฉบับนี้ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2565